Translate

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

พิพิธภัณฑ์สิรินธร (ภูกุ้มข้าว)

 
 
 
 
ระหว่างการเดินทางเพื่อไปทำธุระที่จังหวัดสกลนคร ระยะทางเกินกว่า 600 กิโลเมตร ผ่านจังหวัดต่างๆ ทางภาคอีสานของไทย ผ่านป้ายบอกทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย แต่ที่สะดุดตาและดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ก็เห็นจะเป็น "พิพิธภัณฑ์สิรินธร (ภูกุ้มข้าว)" ที่อยู่ในอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งก่อนหน้าการเดินทางผมก็ลองเข้าไปค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสกลนคร และอำเภอใกล้เคียงก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงรูปภาพมากมาย ยิ่งถ้าลองค้นหาใน OKNATION ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ แล้วก็จะพบหัวข้อที่มีคนทำ blog เอาไว้อย่างมากมาย แล้วถ้าผมจะเพิ่มเข้าไปอีกซักเรื่องก็คงจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูลและภาพถ่ายเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และที่สำคัญอุตส่าห์ดั้นด้นไปถึงที่แล้วถ้าไม่แวะ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปอีก ดังนั้นหลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น อยู่เที่ยวในตัวเมืองสกลนครแล้ว จุดหมายที่วางไว้ก็คือ "พิพิธภัณฑ์สิรินธร (ภูกุ้มข้าว)                                            


                                                                       

 
 ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบโดยพระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ในปีพ.ศ. 2537 และได้เริ่มทำการขุดค้นอย่างเป็นระบบ โดยคณะสำรวจไดโนเสาร์จากกรมทรัพยากรธรณี โดยนายวราวุธ สุธีธร ซึ่งพบว่า ภูกุ้มข้าว ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัด กาฬสินธุ์ เป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทยโดยพบกระดูกไดโนเสาร์เกือบทั้งตัว กองรวมอยู่กับกระดูกไดโนเสาร์กินพืชอีกชนิดหนึ่ง กระดูกทั้งหมดอยู่ในชั้นหินที่วางตัวอยู่บนไหล่เขาของภูกุ้มข้าวซึ่งมี รูปร่างคล้ายลอมฟาง มีความสูงประมาณ 240 เมตร
 
                                              

ปี 2542 กรมทรัพยากรธรณีสร้างอาคารถาวรคลุมหลุมขุดค้น โดยใช้ชื่อว่า “ อาคารพระญาณวิสาลเถร ” ตามชื่อสมณศักดิ์ของท่านเจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ผู้ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว
ปี 2544 อาคารพิพิธภัณฑ์สิรินธร ในส่วนแรกได้มีการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ
ปี 2547 ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 6 (ฝ่ายสังคม) ครั้งที่ 36/2546 วันที่ 4 ธันวาคม 2546 มีมติให้กรมทรัพยากรธรณีใช้เงินงบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ พัฒนาอาคารพิพิธภัณฑไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าวระยะต้น เพื่อปรับปรุงและตกแต่งภายใน และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ซึ่งได้มีการก่อสร้างตกแต่งภายในจนแล้วเสร็จในปี 2548








   ปี 2549 ได้รับงบประมาณ เพื่อสร้างส่วนนิทรรศการ จนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อต้นปี 2550 พิพิธภัณฑ์สิรินธรเปิดให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีได้ขุดค้นซากไดโนเสาร์พบกระดูกมากกว่า 700 ชิ้น เป็นกลุ่มของกระดูกส่วนขา สะโพก ซี่โครง คอ และหางของไดโนเสาร์กินพืชไม่น้อยกว่า 7 ตัว นอกจากนี้ยังพบฟันของไดโนเสาร์ทั้งกินพืช และกินเนื้ออีกอย่างละ 2 ชนิด จากลักษณะของกระดูกพบว่าเป็นไดโนเสาร์กินพืชสกุลภูเวียง ( Phuwiangosaurus sirindhornae ) 1 ชนิด และเป็นไดโนเสาร์กินพืชชนิดใหม่อีก 1 ชนิด คาดว่าอาจเป็นไดโนเสาร์สกุลและชนิดใหม่ของโลก





 
 


 
 ข้อมูลความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต้องขอขอบคุณ เวปไซต์อย่างเป็นทางการของพิพิธภัณฑ์
 
 









วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

เกาะเสม็ด จ. ระยอง เกาะสวรรค์แห่งวันพักผ่อน


เกาะเสม็ด แห่งทะเลระยอง เป็นอีกจุดมุ่งหมายปลายทางหนึ่งของคนรักทะเลเลือกไปเยือนในหน้าร้อนนี้ เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวก มีที่พักให้เลือกหลากหลายแล้ว หาดทรายขาวและน้ำใสสีเขียวครามสะอาดตาก็เป็นอีกหนึ่งความสวบงามที่หลายคนรู้สึกประทับใจ และอยากกลับไปเยือนในทุกครั้ง

เกาะเสม็ด เป็นเกาะขนาดกลาง เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด โดยลงเรือเมล์จากฝั่งบ้านเพจะใช้เวลาวิ่งราว 30-40 นาที ถึงท่าเรือหน้าด่าน ทางส่วนเหนือสุดของเกาะ แล้วก็เดินหรือเหมาสองแถวไปเที่ยวกันได้เลย

ส่วนเหนือของเกาะเป็นศูนย์รวมความเจริญบนเกาะ มีท่าเรือใหญ่ ตลาด และด่านเก็บเงินของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ถัดมาไม่ไกลจะพบ หาดทรายแก้ว ทอดยาวขาวสะอาด มีร้านรวงรีสอร์ตและกิจกรรมทางน้ำครบครัน เริ่มตั้งแต่การเล่นน้ำใส ขับเจ็ตสกี นั่งเรือกล้วย แล่นเรือใบ เล่นกีฬาชายหาด ถัดจากหาดทรายแก้วไปจนถึงปลายตะวันออกของเกาะก็มีอ่าวเล็กๆ อีกกว่า 10 อ่าวที่สามารถลงเล่นน้ำ กินอาหาร แล้วชมทัศนียภาพภาพของทะเลไปเรื่อยๆ เช่น อ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวนวล อ่าวช่อ อ่าวลุงดำ เป็นต้น




วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ "วัดพระแก้ว"


เรียกว่าเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย สำหรับ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว พระอารามหลวงชั้นพิเศษ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวัง อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐาน พระมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต รวมถึงใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาที่สำคัญ เพราะฉะนั้น กระปุกท่องเที่ยวเลยจะพาเพื่อน ๆ ไป เที่ยววัดพระแก้ว ยลโฉมความงดงามของ วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของกรุงรัตนโกสินทร์กันค่ะ


ประวัติวัดพระแก้ว

          เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสร็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2325 ได้ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2325 โดยมีที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับพระราชวังเดิม ของกรุงธนบุรี

          ซึ่งพระบรมมหาราชวังนี้มีเนื้อที่ 152 ไร่ 2 งาน รวมความยาวโดยรอบสี่ด้านกำแพง ได้ทั้งหมด 1,910 เมตร ประกอบไปด้วยป้อมปราการ กับประตูพระราชวังโดยรอบ ภายในของพระบรมมหาราชวัง แบ่งเป็นสี่ส่วน คือ พระราชฐานชั้นนอก พระราชฐานชั้นกลาง พระราชฐานชั้นใน และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

          ลักษณะแบบแผนการก่อสร้างคล้ายคลึงกับพระบรมมหาราชวังเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ มีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อยู่ในบริเวณวังเหมือนกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอารามหลวง ในเขตวังนี้นับเป็นแบบธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ

          สำหรับ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่ประดิษฐาน "พระแก้วมรกต" รวมถึงเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล โดยเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส


เที่ยววัดพระแก้ว
          ภายในวัดพระแก้วมีอาคารสำคัญและอาคารประกอบเป็นจำนวนมาก จึงขอแบ่งกลุ่มอาคารออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งและความสำคัญ ดังนี้…

           กลุ่มพระอุโบสถ : เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มี "พระอุโบสถ" เป็นอาคารประธาน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิ์ธาตุพิมาน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง หอพระคันธารราษฎร์

 สำหรับพระอุโบสถตั้งอยู่ส่วนกลางของวัด มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 ก่อนจะสำเร็จเรียบร้อยลงใน พ.ศ. 2328 ส่วนหลักฐานการก่อสร้างและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถไม่ชัดเจนนัก นอกจากบ่งไว้ว่าฝาผนังรอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ ฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบ ซึ่งปรากฏว่ามีการแก้ไขในรัชกาลที่ 3 และ 4 ในภายหลังดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน 
   กลุ่มฐานไพที : กลุ่มอาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่น ๆ เช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์ และพนมหมาก

           กลุ่มอาคารและสิ่งประดับอื่น ๆ : หอพระนาก พระเศวตกุฏาคารวิหารยอด หอมณเฑียรธรรม พระอัษฎามหาเจดีย์ ยักษ์ทวารบาล และจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ มีเนื้อหาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์

          ทั้งนี้ วัดพระแก้ว ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด การบูรณะครั้งใหญ่ทั้งพระอารามมีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ.2425 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม ในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้ง ใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ


การแต่งกายเข้าวัดพระแก้ว
          การเข้ามาชมไปวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานทั้งยังเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของชาติ จึงต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ อีกทั้งควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัด ได้แก่ ห้ามสวมเสื้อแขนกุด สายเดี่ยว หรือเสื้อที่เปิดไหล่ทุกชนิด, ห้ามสวมใส่กางเกงขาสั้น กางเกงสามส่วน กางเกนยีนส์ขาด ๆ ส่วนกระโปรงก็ไม่สั้นจนเกินไป ทางที่ดีควรเลยหัวเข่าลงมา ส่วนรองเท้าก็ควรเป็นรองเท้าสุภาพ 

          ทั้งนี้ หากเครื่องแต่งกายของคุณไม่เหมาะสมหรือถูกต้อง ทางสำนักพระราชวังได้จัดเตรียมเสื้อผ้าให้ยืมฟรี บริเวณประตูวิเศษไชยศรี แต่ต้องวางเงินประกันชิ้นละ 100 บาท กับบัตรประชาชนเอาไว้ และเมื่อเอาชุดมาคืนทางเจ้าหน้าที่ก็จะคืนทุกอย่างให้หมด



หมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา แห่งทะเลอันดามัน

                                                                           





          อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะกลางทะเลอันดามันที่เป็นเลิศในด้านความงามของปะการังใต้ท้องทะเล อยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2525 

          สำหรับคำว่า "สิมิลัน" เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า เก้าหรือหมู่เกาะเก้า ทั้งนี้ หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอันดามัน มีทั้งหมด 9 เกาะ เรียงลำดับจากเหนือมาใต้ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง (มี 2 เกาะติดกัน) เกาะปายู เกาะหัวกระโหลก ( เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ที่เกาะเมี่ยงเพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความงามทั้งบนบกและใต้น้ำที่ยังคงความสมบูรณ์ของท้องทะเล สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก มีปะการังที่มีสีสันสวยงามหลายชนิด ปลาหลากสีสันและหายาก เช่น กระเบนราหู ปลาวาฬ ปลาโลมา ปลาไหลมอนเร่ ปลาการ์ตูน 


            หากใครคิดจะไปเที่ยวที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีคลื่นลมแรงเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติ จะประกาศปิดเกาะในเดือนพฤษภาคมเพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติทุกปี 

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันกันแล้ว
 
            เริ่มกันที่ "เกาะสิมิลัน" ก่อนเลยแล้วกัน... เพื่อนๆ รู้ไหมว่า จริงๆ แล้ว "เกาะสิมิลัน" เนี่ย มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เกาะแปด" เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน ลักษณะอ่าวเป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า มีหาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่ม น้ำทะเลสีใสน่าเล่น แถมใต้ท้องทะเลยังมีปะการังสวยงามหลากหลายชนิด ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังใบไม้ ปะการังสมอง ปะการังดอกเห็ดขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ กัลปังหา พัดทะเล กุ้งมังกร และปลาประเภทต่างๆ ที่มีสีสันสวยงามมากมาย เป็นเกาะที่สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น ส่วนทางด้านเหนือของเกาะนั้นก็มีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาชวนให้แปลกใจ เช่น หินรูปรองเท้าบู๊ท หรือรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก ตอนบนที่ตรงกับแนวหาดมีหินรูปเรือใบ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นความสวยงามของท้องทะเลได้กว้างไกล



 ต่อกันที่ "เกาะบางู" หรือ "เกาะเก้า" เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีโขดหินรูปลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะที่จุดดำน้ำ "กองหินคริสมาสพอยต์" เป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามสลับซับซ้อนกันเป็นบริเวณกว้าง จะมีแนวปะการัง และกัลปังหาที่สมบูรณ์ และยังเป็นที่อยู่ของปลาหลากชนิด เช่น ปลาไหลริบบิ้น ฉลามครีบเงิน ปลาเก๋า ปลาบู่ กั้งตั๊กแตน... ถูกใจนัก (ชอบ) ดำน้ำนักแหละ

          "เกาะหัวกะโหลก-หินปูซา" หรือ "เกาะเจ็ด" เป็นเกาะที่มีลักษณะเหมือนรูปหัวกะโหลก สภาพใต้น้ำสวยงามเหมือนหุบเขาใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยปะการังอ่อน กัลปังหารูปพัดหลากสีสัน ฝูงปลานานาพันธุ์ และยังสามารถพบปลากระเบนราหู หรือฉลามวาฬได้มากที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสิมิลัน 

          "เกาะหูยง" หรือ "เกาะหนึ่ง" เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีหาดทรายขาวสะอาด และยาวมากที่สุดในเก้าเกาะ มักจะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เห็นร่องรอยของเต่าที่ขึ้นมาวางไข่บนชายหาดคล้ายกับรอยตีนตะขาบเล็กๆ
          "เกาะเมี่ยง" หรือ "เกาะสี่" เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่รองจากสิมิลัน เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เพราะมีแหล่งน้ำจืด ชายหาดที่เกาะสี่จะมีสีขาวละเอียดเนียนสวยงามน่าสัมผัส น้ำทะเลใส บนเกาะสี่จะมีสัตว์ที่หาดูได้ยาก เช่น ปูไก่ ที่มีลำตัวเป็นสีแดงสด มีก้ามสีดำเหลือบน้ำเงิน เวลาร้องจะมีเสียงคล้ายไก่ จะเห็นได้ในช่วงหัวค่ำที่มันออกหากิน นกชาปีไหน เป็นนกประจำถิ่นขนาดใหญ่ตระกูลเดียวกับนกพิราบป่า มีสีสันและลวดลายบนตัวที่งดงาม จะพบได้ตามริมชายหาด หรือร้านอาหารหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และ ปูเสฉวน ที่มีมากมายหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ 

          อย่างไรก็ตาม บริเวณรอบๆ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ยังมีบริเวณดำน้ำที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอีกมากมาย ทั้งจุดดำน้ำลึกอย่าง "เกาะตาชัย" ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยาน คุณจะได้พบกับปลาสาก ปลาค้างคาว ปลากระเบนราหู ฉลามวาฬ "เกาะบอน" อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่เกาะสิมิลัน คุณจะได้พบกับฉลามครีบขาว ปลากระเบนราหู ฉลามกบ "กองหินคริสต์มาสพอยต์" จะพบปลาไหลริบบิ้นสีฟ้า กั้งตั๊กแตน "กองหินแฟนตาซี" อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะแปด เป็นจุดรวมของหินดอกไม้ ปะการัง กัลปังหา สัตว์น้ำหลากชนิด ส่วนจุดดำน้ำตื้น ได้แก่ อ่าวลึก อ่าวกวางเอง เป็นต้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจกิจกรรมดำน้ำ สามารถติดต่อบริษัทดำน้ำในจังหวัดภูเก็ตและพังงา


 การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน

          ท่าเรือทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 70 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายพังงา - ตะกั่วป่า และเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้อุทยานฯ ที่สุด ประมาณ 40 กิโลเมตร จากท่าเรือทับละมุใช้เวลาในการเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลันประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง มีเรือให้เช่าหลายขนาด สำหรับ 30 คน ราคาประมาณ 10,000 บาท และ 40 คน ราคาประมาณ 12,000 บาท และใกล้ๆ บริเวณท่าเรือทับละมุมีที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลัน มีเรือขนาด 80 คน ราคา 2,300 บาท/คน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้) 

          ท่าเรือคุระบุรี อำเภอคุระบุรี อยู่ห่างจากหมู่เกาะสิมิลัน 70 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 3 ชั่วโมง สามารถติดต่อเช่าเรือได้ที่ คุระบุรี กรีนวิว รีสอร์ท

          ท่าเรือหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ก็สามารถเดินทางไปอุทยานฯได้ ระยะทาง 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัทนำเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต หรือเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวของบริษัทเอกชน






วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

วนอุทยานภูแฝก แหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์ จังหวัดกาฬสินธุ์

 



ประวัติ และความเป็นมา :อยู่ในท้องที่บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงห้วยฝา มีเนื้อที่ประมาณ 4,062.50 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2540
ที่ตั้ง : วนอุทยานภูแฝก ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ 46000

ลักษณะภูมิประเทศ :
ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200-475 เมตร มีแหล่งน้ำซับขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นน้ำแร่ มีน้ำตลอดปี ใช้อุปโภคบริโภคได้และใช้ในการเกษตรท้องถิ่นใกล้เคียง
พืชพรรณและสัตว์ป่า :
สภาพป่าบริเวณป่าภูแฝกเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ มะค่าโมง กระบก เต็ง รัง ประดู่ สัตว์ป่าที่พบได้แก่ หมูป่า เก้ง ไก่ป่า กระรอก กระแต ลิ่น บ่าง อีเห็น หมาจิ้งจอก

การเดินทาง :
รถยนต์ เดินทางจากอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ไปตามเส้นทางกาฬสินธุ์-สกลนคร ประมาณ  42  กิโลเมตร ถึงสี่แยกอำเภอสมเด็จเลี้ยวขวาไป ประมาณ  20 กิโลเมตร  ถึงสามแยกอำเภอห้วยผึ้ง  เลี้ยวซ้ายไปทางกิ่งอำเภอนาคู ประมาณ  10 กิโลเมตร  ถึงทางแยกเข้าวนอุทยานภูแฝก (ถนนคอนกรีต) เลี้ยวซ้ายไป ประมาณ  4 กิโลเมตร  ก็จะถึงวนอุทยานภูแฝก รวมระยะทางจากอำเภอเมืองกาฬสินธ์ถึงวนอุทยานภูแฝก ประมาณ 76 กิโลเมตร

สถานที่ที่น่าสนใจ ในเขตวนอุทยานภูแฝก
รอยพระพุทธบาท (Roy Buddha's footprint) 


 วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2553 นายไพรโรจน์ เพชรสังหาร วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะ ได้เข้าตรวจสอบรอยพระพุทธบาท บริเวณลานหิน ในวัดถ้ำพระฤาษีวิปัสนาธรรม บ้านวังเวียง ต.นาคู อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ที่ตั้งอยู่กลางวนอุทยานภูแฝก โดยมี พระอาจารย์น้อย ถิรวโส เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระฤาษี นายพิพิธ ภาระบุญ นายอำเภอนาคู และชาวบ้านจำนวนมากเดินทางมาเฝ้าสังเกตุการณ์
         โดยบริเวณที่พบร่องรอยพระพุทธบาท อยู่บริเวณลานหินภายในวัด ซึ่งร่องรอยที่ 1 และ 2 เป็นรอยที่เกิดจากธรรมชาติมีน้ำผุดธรรมชาติออกจากร่องรอยพระพุทธบาทตลอดเวลา ห่างออกไปประมาณ 43 เมตรยังพบร่องรอยพระพุทธบาทรอยที่ 3 และ 4 ซึ่งจากร่องรอยชุดนี้ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นร่องรอยพระพุทธบาทที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ นอกจากนี้ทางทิศเหนือของร่องรอยพระพุทธบาทห่างไปอีกประมาณ 10 เมตร ยังพบมีการแกะสลักกลีบบัว 7 กลีบ ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบที่ทำให้ทราบถึงความเจริญทางโบราณสถานในอดีตกาลเป็นอย่างดี
 พระอาจารย์น้อย ถิรวโส เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระฤาษี อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้พบร่องรอยพระพุทธบาทและสิ่งมีค่าอื่น ๆ หลายรายการโดยบังเอิญ ขณะทำวิปัสสนาอยู่บริเวณลานหิน จึงได้นำน้ำมาลาดดูพบเป็นร่องรอยที่เด่นชัด ซึ่งได้พบเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2552 ที่ก่อนหน้านี้ตั้งแต่มาจำพรรษาอยู่ได้พบเศียรพระไม้ 1 เศียร พระพุทะรูปไม้ 3 องค์  จึงได้ทำการเก็บรักษาไว้ภายในวัด จนกระทั่งมาพบร่องรอยพระพุทธบาททั้ง 4 รอย จึงแจ้งไปยังอำเภอนาคูให้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายมาดู รวมทั้งสำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด ได้เข้ามาทำการตรวจสอบ และชี้ชัดว่าเป็นโบราณสถานจริงแต่โบราณสถานแห่งนี้กลับยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนใด ๆ เลย
          ด้านนายไพโรจน์ เพชรสังหาร วัฒนธรรมจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ร่องรอยพระพุทธบาทที่พบมีความคล้ายคลึงกับร่องรอยพระพุทธบาทคู่ที่พบอยู่สระมรกต เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี มีขนาดความยาว 60 ซม. กว้าง 30 ซม. นิ้วเท้าทั้ง 5 เรียงเท่ากัน อายุประมาณ 1,100 ปี เป็นลักษณะขนาดเท่ากันกับที่พบก่อนหน้าที่ที่บริเวณภูปอ อ.เมืองกาฬสินธุ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว ที่ตอนนี้ก็รอเพียงการขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เบื้องต้นได้รายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อดำเนินการดูแลรักษาตามมาตรการรักษาความปลอดภัยการให้ความรู้กับชาวบ้านในการดูแลรักษามรดกมีค่านี้ไว้ให้ดีป้องกันการมาทำลายจากผู้ไม่หวังดี
รอยเท้าไดโนเสาร์ (Dinosaur footprints) 


ตั้งอยู่หมู่ 6 บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู อยู่ในพื้นที่ของวนอุทยานภูแฝก ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง กรมป่าไม้ การเข้าถึงพื้นที่ใช้เส้นทางหลวงสาย 213 จากจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปอำเภอสมเด็จ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอสมเด็จ ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวงสาย 2042 ไปทางอำเภอห้วยผึ้ง และ กุฉินารายณ์ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอห้วยผึ้งให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงสาย 2101 ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร จึงถึงแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์




 รอยเท้าไดโนเสาร์ที่พบเป็นรอยเท้าอยู่บนภูเขา ซึ่งถูกค้นพบโดย เด็กหญิงกัลยามาศ สิงนาคลอง และเด็กหญิงพัชรี ไวแสน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ที่บริเวณต้นน้ำของลำห้วยผึ้ง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอห้วยผึ้ง กับอำเภอนาคู ได้พบรอยเท้าประหลาดกลางลานหินลำห้วยเหง้าดู่ อันเป็นลานหินที่รู้จักกันในนามวังเครือจาน เชิงเขาภูแฝก เทือกเขาภูพาน หลังจากนั้นได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่นักธรณีวิทยาพร้อมด้วยส่วนราชการ และเอกชนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เดินทางไปสำรวจ โดยการสำรวจของ ดร.วราวุธ สุธีระ ผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ จึงพบว่าเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ประเภทเทอร์โรฟอส จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โนซอร์ ชนิดกินเนื้ออายุประมาณ 140 ล้านปี ซึ่งประทับอยู่บนลานหินยุคคลีเตเซียสตอนต้น ลักษณะรอยเท้ามีความชัดเจนถึง  7 รอย ในรอยเท้าทั้งหมด 21 รอยในแนวทางเดิน  6 แนว  ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาฬสินธุ์
  ลักษณะของแหล่ง รอยเท้าไดโนเสาร์เป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่บอกถึงการปรากฏตัวบนโลกของสัตว์เลื้อยคลานโบราณที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์ เป็นเครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่เคยเดินท่อมๆ หากินอยู่ตามพื้นทรายชุ่มน้ำตามขอบชายบึงหรือแม่น้ำในช่วงเวลาประมาณ 140 ล้านปีมาแล้ว รอยเท้าทั้งหมด ปรากฏให้เห็นเป็นรอยทางเดิน 3 แนว คือ แนวที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 7 รอย แนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมุม 60 องศา จำนวน 2 รอย และแนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยมุม 37 องศา จำนวน  3 รอย รอยเท้าทั้งหมดเป็นรอยเท้าที่มีนิ้ว  3 นิ้ว ขนาดโดยเฉลี่ยมีความยาวประมาณ 45 เซนติเมตร กว้าง 40 เซนติเมตร ระยะก้าว 120 และ 110 เซนติเมตร เป็นไดโนเสาร์ที่เดินด้วยสองขาหลัง มีความสูงถึงสะโพกมากกว่า 2 เมตร ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ