ประวัติ และความเป็นมา :อยู่ในท้องที่บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงห้วยฝา มีเนื้อที่ประมาณ 4,062.50 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2540
ที่ตั้ง : วนอุทยานภูแฝก ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ 46000
ลักษณะภูมิประเทศ :
ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200-475 เมตร มีแหล่งน้ำซับขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นน้ำแร่ มีน้ำตลอดปี ใช้อุปโภคบริโภคได้และใช้ในการเกษตรท้องถิ่นใกล้เคียง
พืชพรรณและสัตว์ป่า :
สภาพป่าบริเวณป่าภูแฝกเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ มะค่าโมง กระบก เต็ง รัง ประดู่ สัตว์ป่าที่พบได้แก่ หมูป่า เก้ง ไก่ป่า กระรอก กระแต ลิ่น บ่าง อีเห็น หมาจิ้งจอก
การเดินทาง :
รถยนต์ เดินทางจากอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ไปตามเส้นทางกาฬสินธุ์-สกลนคร ประมาณ 42 กิโลเมตร ถึงสี่แยกอำเภอสมเด็จเลี้ยวขวาไป ประมาณ 20 กิโลเมตร ถึงสามแยกอำเภอห้วยผึ้ง เลี้ยวซ้ายไปทางกิ่งอำเภอนาคู ประมาณ 10 กิโลเมตร ถึงทางแยกเข้าวนอุทยานภูแฝก (ถนนคอนกรีต) เลี้ยวซ้ายไป ประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงวนอุทยานภูแฝก รวมระยะทางจากอำเภอเมืองกาฬสินธ์ถึงวนอุทยานภูแฝก ประมาณ 76 กิโลเมตร
สถานที่ที่น่าสนใจ ในเขตวนอุทยานภูแฝก
รอยพระพุทธบาท (Roy Buddha's footprint)
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2553 นายไพรโรจน์ เพชรสังหาร วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะ ได้เข้าตรวจสอบรอยพระพุทธบาท บริเวณลานหิน ในวัดถ้ำพระฤาษีวิปัสนาธรรม บ้านวังเวียง ต.นาคู อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ที่ตั้งอยู่กลางวนอุทยานภูแฝก โดยมี พระอาจารย์น้อย ถิรวโส เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระฤาษี นายพิพิธ ภาระบุญ นายอำเภอนาคู และชาวบ้านจำนวนมากเดินทางมาเฝ้าสังเกตุการณ์
โดยบริเวณที่พบร่องรอยพระพุทธบาท อยู่บริเวณลานหินภายในวัด ซึ่งร่องรอยที่ 1 และ 2 เป็นรอยที่เกิดจากธรรมชาติมีน้ำผุดธรรมชาติออกจากร่องรอยพระพุทธบาทตลอดเวลา ห่างออกไปประมาณ 43 เมตรยังพบร่องรอยพระพุทธบาทรอยที่ 3 และ 4 ซึ่งจากร่องรอยชุดนี้ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นร่องรอยพระพุทธบาทที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ นอกจากนี้ทางทิศเหนือของร่องรอยพระพุทธบาทห่างไปอีกประมาณ 10 เมตร ยังพบมีการแกะสลักกลีบบัว 7 กลีบ ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบที่ทำให้ทราบถึงความเจริญทางโบราณสถานในอดีตกาลเป็นอย่างดี
พระอาจารย์น้อย ถิรวโส เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระฤาษี อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้พบร่องรอยพระพุทธบาทและสิ่งมีค่าอื่น ๆ หลายรายการโดยบังเอิญ ขณะทำวิปัสสนาอยู่บริเวณลานหิน จึงได้นำน้ำมาลาดดูพบเป็นร่องรอยที่เด่นชัด ซึ่งได้พบเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2552 ที่ก่อนหน้านี้ตั้งแต่มาจำพรรษาอยู่ได้พบเศียรพระไม้ 1 เศียร พระพุทะรูปไม้ 3 องค์ จึงได้ทำการเก็บรักษาไว้ภายในวัด จนกระทั่งมาพบร่องรอยพระพุทธบาททั้ง 4 รอย จึงแจ้งไปยังอำเภอนาคูให้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายมาดู รวมทั้งสำนักศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด ได้เข้ามาทำการตรวจสอบ และชี้ชัดว่าเป็นโบราณสถานจริงแต่โบราณสถานแห่งนี้กลับยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนใด ๆ เลย
ด้านนายไพโรจน์ เพชรสังหาร วัฒนธรรมจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ร่องรอยพระพุทธบาทที่พบมีความคล้ายคลึงกับร่องรอยพระพุทธบาทคู่ที่พบอยู่สระมรกต เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี มีขนาดความยาว 60 ซม. กว้าง 30 ซม. นิ้วเท้าทั้ง 5 เรียงเท่ากัน อายุประมาณ 1,100 ปี เป็นลักษณะขนาดเท่ากันกับที่พบก่อนหน้าที่ที่บริเวณภูปอ อ.เมืองกาฬสินธุ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไปแล้ว ที่ตอนนี้ก็รอเพียงการขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เบื้องต้นได้รายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อดำเนินการดูแลรักษาตามมาตรการรักษาความปลอดภัยการให้ความรู้กับชาวบ้านในการดูแลรักษามรดกมีค่านี้ไว้ให้ดีป้องกันการมาทำลายจากผู้ไม่หวังดี
รอยเท้าไดโนเสาร์ (Dinosaur footprints)
ตั้งอยู่หมู่ 6 บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง อำเภอนาคู อยู่ในพื้นที่ของวนอุทยานภูแฝก ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง กรมป่าไม้ การเข้าถึงพื้นที่ใช้เส้นทางหลวงสาย 213 จากจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปอำเภอสมเด็จ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอสมเด็จ ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวงสาย 2042 ไปทางอำเภอห้วยผึ้ง และ กุฉินารายณ์ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอห้วยผึ้งให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงสาย 2101 ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าหน่วยจัดการต้นน้ำลำห้วยผึ้ง-ลำพะยัง เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร จึงถึงแหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์
รอยเท้าไดโนเสาร์ที่พบเป็นรอยเท้าอยู่บนภูเขา ซึ่งถูกค้นพบโดย เด็กหญิงกัลยามาศ สิงนาคลอง และเด็กหญิงพัชรี ไวแสน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ที่บริเวณต้นน้ำของลำห้วยผึ้ง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอห้วยผึ้ง กับอำเภอนาคู ได้พบรอยเท้าประหลาดกลางลานหินลำห้วยเหง้าดู่ อันเป็นลานหินที่รู้จักกันในนามวังเครือจาน เชิงเขาภูแฝก เทือกเขาภูพาน หลังจากนั้นได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่นักธรณีวิทยาพร้อมด้วยส่วนราชการ และเอกชนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เดินทางไปสำรวจ โดยการสำรวจของ ดร.วราวุธ สุธีระ ผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ จึงพบว่าเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ประเภทเทอร์โรฟอส จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โนซอร์ ชนิดกินเนื้ออายุประมาณ 140 ล้านปี ซึ่งประทับอยู่บนลานหินยุคคลีเตเซียสตอนต้น ลักษณะรอยเท้ามีความชัดเจนถึง 7 รอย ในรอยเท้าทั้งหมด 21 รอยในแนวทางเดิน 6 แนว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาฬสินธุ์
ลักษณะของแหล่ง รอยเท้าไดโนเสาร์เป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่บอกถึงการปรากฏตัวบนโลกของสัตว์เลื้อยคลานโบราณที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์ เป็นเครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ที่เคยเดินท่อมๆ หากินอยู่ตามพื้นทรายชุ่มน้ำตามขอบชายบึงหรือแม่น้ำในช่วงเวลาประมาณ 140 ล้านปีมาแล้ว รอยเท้าทั้งหมด ปรากฏให้เห็นเป็นรอยทางเดิน 3 แนว คือ แนวที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 7 รอย แนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมุม 60 องศา จำนวน 2 รอย และแนวทางเดินที่มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยมุม 37 องศา จำนวน 3 รอย รอยเท้าทั้งหมดเป็นรอยเท้าที่มีนิ้ว 3 นิ้ว ขนาดโดยเฉลี่ยมีความยาวประมาณ 45 เซนติเมตร กว้าง 40 เซนติเมตร ระยะก้าว 120 และ 110 เซนติเมตร เป็นไดโนเสาร์ที่เดินด้วยสองขาหลัง มีความสูงถึงสะโพกมากกว่า 2 เมตร ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ
blog มีความคิดสร้างสรรค์ ขาดเกตเจตไม่ครบ
ตอบลบ